คุณเคยไหมลงโฆษณา Google Ads ไปเท่าไรก็ยังไม่มีลูกค้าเข้ามา? หรือเสียเงินไปหลักหมื่นแต่ได้แค่ยอดคลิก ไม่ใช่ยอดขาย? The Media Code มีคำตอบ

สิ่งที่จะได้เห็นต่อไปนี้จะช่วยให้เข้าใจวิธีเปลี่ยนทุกคลิกบน Google ให้กลายเป็นลูกค้าจริง ด้วยเทคนิคการตั้งค่า ยิงโฆษณา และทำการวัดผลแบบมืออาชีพ! ไม่ว่าธุรกิจแบบ SME หรือธุรกิจ Start Up ก็สามารถนำไปปรับใช้ได้

เข้าใจ Google Ads ให้ลึกก่อนลงมือยิง

ก่อนที่คุณจะเริ่มต้นใช้เงินกับการยิงแอดบน Google การเข้าใจภาพรวมและโครงสร้างของแพตฟอร์มถือเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยให้คุณได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าที่สุด Google Ads คือแพลตฟอร์มโฆษณาของ Google ที่เปิดโอกาสให้ธุรกิจทุกขนาด สามารถแสดงโฆษณาในตำแหน่งที่ผู้คนใช้งานจริง 

ไม่ว่าจะเป็นใน หน้าผลการค้นหา (Google Search), วิดีโอบน YouTube, หรือ เว็บไซต์ในเครือข่าย Google Display Network (GDN) จุดเด่นสำคัญคือโมเดล Pay-per-Click (PPC) หรือ “จ่ายเมื่อมีคนคลิก” ทำให้ทุกบาททุกสตางค์ที่ใช้ไปนั้นมีโอกาสคืนกลับมาเป็นลูกค้าที่มีการซื้อสินค้าหรือบริการ

ประเภทของโฆษณาที่มีใน Google Ads 

ประเภทของการวางโฆษณาบน Google มีหลากหลาย ซึ่งควรเลือกให้เหมาะกับวัตถุประสงค์ เช่น:

  • Search Ads: แสดงผลในหน้า Google Search เมื่อผู้ใช้งานค้นหาคำที่เกี่ยวข้อง เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการจับกลุ่มลูกค้าที่มีเจตนา (Intent) ชัดเจน
  • Display Ads: แสดงเป็นแบนเนอร์หรือภาพนิ่งตามเว็บไซต์ที่อยู่ในเครือข่าย GDN มีประโยชน์ในแง่ของการสร้างการรับรู้แบรนด์ (Awareness) หรือการ Retargeting ผู้ที่เคยเข้าชมเว็บไซต์
  • Video Ads: โฆษณาในรูปแบบวิดีโอซึ่งแสดงบน YouTube หรือแอปอื่นๆ ในเครือ Google เหมาะสำหรับการสื่อสารที่ต้องการอารมณ์หรือเรื่องราว
  • Shopping Ads: โฆษณาที่แสดงรูปสินค้า ราคาสินค้า และชื่อร้านค้าโดยตรงในผลการค้นหา เหมาะกับธุรกิจ E-commerce ที่มีหลาย SKU และต้องการเน้นการขายโดยตรง
  • App Campaigns: สำหรับธุรกิจที่มีแอปของตัวเอง โดยระบบจะกระจายโฆษณาให้ทั่วทั้ง Google Search, YouTube, Google Play และ GDN โดยไม่ต้องตั้งค่าแคมเปญแยก

การเข้าใจข้อจำกัดของแต่ละประเภทโฆษณาจะช่วยให้สามารถวางแผนแคมเปญได้อย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดงประมาณ นอกจากนี้ การวางโครงสร้างบัญชีโฆษณาให้ดีจะทำให้สามารถ วิเคราะห์ผลลัพธ์ได้อย่างแม่นยำและปรับปรุงได้แบบมีข้อมูลรองรับ

วางแผนอย่างมีกลยุทธ์ก่อนเปิดแคมเปญ Google Ads

ก่อนจะเริ่มต้นเปิดใช้งานโฆษณาบน Google การวางแผนเชิงกลยุทธ์คือขั้นตอนที่สำคัญที่สุดที่จะกำหนดว่าแคมเปญที่จะทำจะ “คุ้มค่า” หรือ “สูญเปล่า” โดยสิ่งที่ควรเริ่มต้นคือการทำ Keyword Research อย่างเป็นระบบ เพื่อหา คำค้นหาที่มีแนวโน้มสร้าง Conversion ได้จริง ไม่ใช่เพียงแค่สร้างยอดคลิก

การวางแผนคำค้นควรพิจารณาแยกประเภทของ Keyword ดังนี้:

  • Exact Match – แสดงโฆษณาเมื่อคำค้นหาตรงเป๊ะ มีความแม่นยำสูงสุด เหมาะกับผู้ที่รู้ว่าลูกค้ากำลังมองหาอะไร
  • Phrase Match – แสดงเมื่อคำค้นหามีความใกล้เคียงในโครงสร้างประโยค เหมาะสำหรับคำค้นที่เจาะจง แต่ยังเปิดโอกาสให้เจอกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ
  • Broad Match – เข้าถึงผู้คนจำนวนมาก แต่ต้องควบคุมด้วย Negative Keyword และการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างต่อเนื่อง เพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายเงินโดยเปล่าประโยชน์
  • Negative Keyword – ใช้กรองคำที่ไม่เกี่ยวข้อง เช่น “ฟรี” “รีวิว” หรือคำที่ไม่ต้องการให้แสดงโฆษณา ช่วยลดคลิกที่ไม่ก่อให้เกิดยอดขาย

โครงสร้างแคมเปญแบบมืออาชีพ

เมื่อได้ Keyword ที่เหมาะสมแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการวางโครงสร้างแคมเปญอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ระบบสามารถประมวลผลได้แม่นยำและให้ข้อมูลเชิงลึกสำหรับการปรับปรุงในอนาคต โดยควรประกอบด้วย:

  • การจัดกลุ่มโฆษณา (Ad Group) อย่างมีระบบ โดยแยกตาม เจตนาของผู้ค้นหา (Search Intent) เช่น กลุ่มคนที่กำลังหาข้อมูล (Informational) กับกลุ่มที่พร้อมซื้อ (Transactional) เพื่อให้ข้อความโฆษณาตรงจุดและเพิ่มอัตรา Conversion
  • ตั้งเป้าหมายการวัดผล (Conversion Tracking) ให้ชัดเจน เช่น การกรอกฟอร์ม การคลิกเบอร์โทร หรือการสั่งซื้อ เพื่อให้วิเคราะห์ ROI ได้แม่นยำ
  • กำหนดกลยุทธ์การประมูล (Bidding Strategy) ให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ เช่น:
    • Maximize Clicks – เหมาะสำหรับช่วงเริ่มต้นเพื่อเก็บข้อมูล
    • Target CPA (Cost Per Acquisition) – คุมต้นทุนการได้ลูกค้าใหม่
    • Target ROAS (Return on Ad Spend) – เน้นผลตอบแทนต่อค่าโฆษณา

อย่าลืมที่จะต้องกำหนดงบประมาณรายวันหรือรายเดือน ให้ชัดเจน และวางกลยุทธ์รองรับหากผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามเป้า เช่น การทำ A/B Testing หรือการปรับกลุ่มเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง

เขียนโฆษณายังไงให้คลิกแล้วไม่เสียเปล่า

การโฆษณาไม่ใช่แค่การดึงดูดให้คนคลิก แต่คือการเปลี่ยนการคลิกให้กลายเป็น Conversion ที่ไม่ว่าจะเป็นยอดขาย การลงทะเบียน หรือการติดต่อกลับ การเขียนข้อความโฆษณาให้มีพลัง จึงต้องเริ่มจากความเข้าใจ “เจตนาในการค้นหา” หรือ Search Intent ของกลุ่มเป้าหมาย

เคล็ดลับการเขียนโฆษณาให้เปลี่ยนจาการคลิกเป็น Conversion 

  • เขียน Headline ที่ตอบปัญหา/ความต้องการ
  • ใช้ Description ที่เสริมความน่าเชื่อถือ เช่น “ส่งฟรีใน 1 วัน”
  • แทรก Call to Action ชัดเจน เช่น “ช้อปเลย”, “รับโปรวันนี้เท่านั้น”
  • ทดสอบ A/B Testing อย่างสม่ำเสมอเพื่อตรวจสอบว่าข้อความใดเวิร์คที่สุด

โฆษณาที่ดี = โฆษณาที่สามารถตอบคำถามในใจลูกค้าได้ทันที อย่าเขียนให้แค่สวยงาม แต่ต้อง ตรงประเด็น ประหยัดเวลา และชวนให้ลงมือทำ ทุกคำที่เขียนคือการลงทุน อย่าปล่อยให้คลิกต้องสูญเปล่า!

ยิงโฆษณาให้ตรงกลุ่มเป้าหมายแบบไม่เสียเงินฟรี

หนึ่งในข้อผิดพลาดที่มักเกิดขึ้นกับผู้เริ่มต้นทำ Digital Marketing คือ “การยิงโฆษณา Google แบบหว่านแห” โดยไม่ได้ทำการวิเคราะห์หรือกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน ส่งผลให้ใช้งบประมาณไปโดยไม่ได้ผลลัพธ์กลับมาเท่าที่ควร 

การใช้ฟีเจอร์ Targeting อย่างเหมาะสมไม่เพียงแต่ช่วยประหยัดงบโฆษณา แต่ยังเพิ่มอัตรา Conversion ได้อย่างชัดเจน เพื่อให้โฆษณาเข้าถึงกลุ่มที่ “มีแนวโน้มจะซื้อจริง” ลองใช้วิธีการกำหนดกลุ่มเป้าหมายแบบมืออาชีพเหล่านี้ดู

รูปแบบการกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ควรรู้:

  • Demographics: เลือกเจาะจงตาม เพศ, อายุ, สถานภาพ, อาชีพ หรือ รายได้ เพื่อให้ตรงกับสินค้า เช่น เสื้อผ้าแฟชั่นผู้หญิงอายุ 25–35 ปีในเขตเมืองใหญ่
  • Affinity & In-Market Audiences: เจาะกลุ่มจากความสนใจ เช่น ผู้ที่ติดตามเพจสุขภาพ, ชอบดูรีวิวท่องเที่ยว หรือกำลังค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับรถยนต์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความตั้งใจซื้อสูง
  • Remarketing: ยิงโฆษณาซ้ำให้คนที่เคยเข้าชมเว็บไซต์หรือเคยดูคลิปวิดีโอของแบรนด์ ช่วยให้ผู้ที่ลังเลกลับมาตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
  • Geo Targeting: เลือกกลุ่มเป้าหมายตามพื้นที่ เช่น เฉพาะจังหวัด เขต หรือ รัศมีรอบสถานที่จริงของร้านหรือสำนักงาน
  • Time Scheduling: แสดงโฆษณาในช่วงเวลาที่กลุ่มเป้าหมายมีแนวโน้มเห็นและตอบสนองมากที่สุด เช่น พักกลางวัน (11:00–13:00) หรือหลังเลิกงาน (17:00–21:00)

การยิงโฆษณาแบบมีเป้าหมายไม่ใช่เรื่องของดวง แต่คือการวางที่เรามีความเข้าใจลูกค้าอย่างถูกจุด ยิ่งถ้าสามารถเข้าใจว่าใครคือกลุ่มค้าลูกจริงๆ ก็จะยิ่งมีโอกาสใช้งบให้น้อยลงแต่ได้ผลลัพธ์มากขึ้น อย่าเสียเงินฟรีไปกับการทดลองแบกระจาย แต่จงเล็งให้แม่น แล้วปล่อยให้โฆษณาทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

วิเคราะห์และปรับแคมเปญให้ยิงแม่นยิ่งขึ้น

ไม่ว่าจะวางแผนกลยุทธ์กาาตลาดมาดีแค่ไหน หากไม่มีการวิเคราะห์และปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอ แคมเปญโฆษณาก็เปรียบเหมือนการล่องเรือแบบไร้ทิศทางที่ไม่รู้ว่าเป้าหมายอยู่ตรงไน การทำโฆษณา Google ให้ได้ผลลัพธ์จริง จึงต้องอาศัยการติดตามผลแบบ Realtime และการทำความเข้าใจ Metric ที่มีความหมายต่อธุรกิจจริงๆ ไม่ใช่แค่ตัวเลขสวยงาม

ตัวชี้วัดหลักที่ได้ผลจริง:

  • CTR (Click-through Rate): เป็นการวัดว่าข้อความโฆษณาดึงดูดแค่ไหน หากค่า CTR ต่ำ อาจต้องกลับไปทบทวนคำโฆษณา คีย์เวิร์ด หรือแม้แต่การออกแบบภาพ
  • Conversion Rate: แสดงสัดส่วนของผู้ที่คลิกโฆษณาแล้วดำเนินการตามเป้าหมาย เช่น ซื้อสินค้า หรือกรอกฟอร์ม หากคลิกเยอะแต่ไม่แปลงเป็นยอดขาย ควรพิจารณา Landing Page หรือ Funnel ที่อาจมีจุดหลุด
  • CPA (Cost per Action): วัดต้นทุนต่อการกระทำหนึ่ง เช่น การซื้อ 1 ครั้ง ยิ่ง CPA ต่ำ ยิ่งคุ้มค่าการลงทุน
  • ROAS (Return on Ad Spend): ชี้ให้เห็นว่าใช้เงินไปเท่าไร ได้กลับมาเท่าไร ROAS ที่ดีจะช่วยให้รู้ว่าควรเพิ่มหรือลดงบในส่วนไหน

อย่าปล่อยให้แคมเปญโฆษณาทำงานไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีการตรวจสอบและปรับแต่ง ใช้ข้อมูลและเครื่องมือให้เกิดประโยชน์สูงสุด แล้วจะพบว่า Google Ads ไม่ใช่แค่ “จ่ายเพื่อให้คนเห็น” แต่มันคือเครื่องมือที่สามารถพาธุรกิจเติบโตได้แบบยั่งยืน

Conclusion

การใช้ Google Ads ไม่ใช่แค่เรื่องของการยิงโฆษณาให้คนเห็น แต่คือการวางแผน การเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย และการวิเคราะห์ผลอย่างต่อเนื่อง ทุกคลิกที่เกิดขึ้นควรมีเป้าหมาย ไม่ใช่แค่ยอดวิวหรือยอดคลิก แต่ต้องกลายเป็นยอดขายหรือโอกาสทางธุรกิจ

ให้มองว่าโฆษณา Google เป็นการลงทุนไม่ใช่ค่าใช้จ่ายทุกเม็ดเงินที่ใช้ไป ต้องตอบได้ว่าได้อะไรกลับมา และจะปรับอย่างไรให้ดีขึ้น การวัดผล การเรียนรู้จากแคมเปญ และการปรับให้เหมาะกับพฤติกรรมลูกค้า คือสิ่งที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ

Final Thoughts: อย่าลืมว่าในโลกยุคนี้ทุกวินาทีมีคนค้นหาสิ่งที่คุณขายอยู่แล้ว เพียงแค่ทำการยิงโฆษณาให้ตรงจุดและพาเขาไปยังหน้าเว็บที่ตอบโจทย์ มีข้อเสนอที่ครงใจ เท่านี้ก็จะสามารถเปลี่ยนทุกการคลิกให้กลายเป็นเงินได้ทันที