รู้หรือไม่ว่า กว่า 2.9 พันล้านคนทั่วโลก ใช้ Facebook เป็นประจำทุกเดือน? (ข้อมูลจาก Statista, 2025) ซึ่งหมายความว่าฐานลูกค้าของคุณอาจอยู่บนแพลตฟอร์มนี้ทุกวัน และ ยิง Facebook Ads ไม่ใช่แค่การโปรโมตโพสต์ แต่คือระบบการตลาดที่ทรงพลัง สามารถเจาะกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ และสร้างผลลัพธ์ในระยะยาว
หลายธุรกิจใช้ Facebook Ads เพียงเพื่อยอดขายระยะสั้น แต่เมื่อกลยุทธ์ถูกออกแบบอย่างยั่งยืน คุณสามารถเปลี่ยนการลงทุนทางการตลาดให้เป็นการสร้าง “Brand Equity” และ “Customer Lifetime Value (CLV)” ได้อย่างแท้จริง
ในบทความนี้จะอธิบายถึงการทำ Facebook Ads ที่ไม่ใช่แค่ “ขายได้” แต่ยังสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืนให้ธุรกิจ ทำให้เห็นว่า Ads ไม่ใช่การยิงโฆษณาเพื่อยอดขายระยะสั้นเท่านั้น

เข้าใจ Customer Journey และ Funnel
การทำโฆษณาออนไลน์ในปัจจุบัน ถ้าเรายังคิดเพียง “ยิง Facebook Ads แล้วต้องขายได้ทันที” มักจะเจอปัญหาค่าโฆษณาแพงขึ้น แต่ผลลัพธ์ไม่ยั่งยืน เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคยุคนี้ซับซ้อนขึ้นกว่าเดิม พวกเขาไม่ได้ตัดสินใจซื้อทันทีที่เห็นโฆษณาครั้งแรก แต่จะผ่านเส้นทางที่เรียกว่า Customer Journey ซึ่งแต่ละช่วงมีความต้องการและพฤติกรรมต่างกัน ดังนั้นกลยุทธ์โฆษณาจึงต้องออกแบบให้สอดคล้องกับ Funnel อย่างเป็นระบบ
1. Awareness – การสร้างการรับรู้
เป้าหมายในขั้นนี้ไม่ใช่การขาย แต่คือทำให้แบรนด์เป็นที่จดจำ เช่น
- ใช้ Reach Campaigns เพื่อให้คนในกลุ่มเป้าหมายเห็นแบรนด์บ่อย ๆ
- ใช้ Engagement Campaigns เพื่อสร้างการมีส่วนร่วม เช่น การกดไลก์ แชร์ หรือคอมเมนต์
ตัวอย่าง: ธุรกิจสปาอาจใช้วิดีโอสั้น ๆ แนะนำบรรยากาศร้านให้ลูกค้ารู้สึกอยากมาเยือน
2. Consideration – การพิจารณา
ลูกค้าที่อยู่ในขั้นนี้เริ่มมีความสนใจ แต่ยังไม่มั่นใจพอที่จะซื้อ
- สร้าง Content ที่มีคุณค่า เช่น บทความรีวิวจากลูกค้าจริง วิดีโอเบื้องหลังการบริการ หรือกรณีศึกษาที่สะท้อนผลลัพธ์
- ตัวอย่าง: โรงเรียนสอนภาษาสามารถทำคลิปสัมภาษณ์ผู้เรียนที่พัฒนาทักษะได้จริง เพื่อสร้างความเชื่อมั่น
3. Conversion – การตัดสินใจซื้อ
เมื่อผู้บริโภครู้จักและพิจารณาแล้ว ขั้นนี้ต้องกระตุ้นให้เกิดการปิดการขาย
- ใช้ รีมาร์เก็ตติ้ง (Remarketing) ยิงโฆษณาซ้ำไปยังคนที่เคยเข้ามาในเว็บไซต์หรือเคยมีปฏิสัมพันธ์กับเพจ
- เสนอ Offer ที่ชัดเจน เช่น ส่วนลด แพ็กเกจพิเศษ หรือสิทธิ์ทดลองฟรี
ตัวอย่าง: ร้านอาหารอาจยิงโฆษณาเสนอคูปองส่วนลด 10% สำหรับผู้ที่เคยดูเมนูออนไลน์มาก่อน
4. Loyalty – การรักษาลูกค้าเก่า
หลายธุรกิจพลาดตรงนี้ เพราะคิดว่าขายแล้วจบ แต่จริง ๆ การรักษาลูกค้าเก่าให้ซื้อซ้ำและบอกต่อคือสิ่งสำคัญที่สุด
- ใช้โฆษณา Exclusive Offers หรือโปรโมชันพิเศษสำหรับลูกค้าเดิม
- สร้างโปรแกรมสมาชิก หรือกลุ่มปิดที่ลูกค้ารู้สึกมีคุณค่า
ตัวอย่าง: แบรนด์คอลลาเจนมอบโปรซื้อ 3 กล่อง แถม 1 เฉพาะลูกค้าที่เคยสั่งซ้ำ
ดังนั้น การทำโฆษณาแบบยั่งยืนคือการ มองทั้ง Funnel ไม่ใช่แค่ Conversion ธุรกิจที่เข้าใจและลงมือทำครบทุกขั้น จะได้ทั้งยอดขาย การเติบโตของแบรนด์ และความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า

การใช้ Data และ AI ให้เกิดประโยชน์
ในยุคดิจิทัลที่การแข่งขันสูงขึ้นทุกวัน การยิงโฆษณาแบบหว่านกว้าง ๆ ไม่เพียงพออีกต่อไปแล้ว ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จคือธุรกิจที่รู้จัก “ใช้ข้อมูล (Data)” และ “ใช้เทคโนโลยี AI” ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดย Facebook Ads Manager มีเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้การตลาดออนไลน์ทั้งแม่นยำและคุ้มค่า
1. Custom Audience: การรีมาร์เก็ตติ้งด้วยข้อมูลจริง
- ใช้ข้อมูลลูกค้าที่มีอยู่แล้ว เช่น อีเมล เบอร์โทร หรือข้อมูลจาก Facebook Pixel ที่ติดไว้บนเว็บไซต์
- ทำให้สามารถยิงโฆษณากลับไปหาลูกค้าที่เคยแสดงความสนใจ เช่น เคยเข้าเว็บ เคย Add to Cart แต่ยังไม่ได้ซื้อ
- ผลลัพธ์คือโอกาสปิดการขายสูงขึ้น เพราะเรากำลังสื่อสารกับคนที่ “มีโอกาสซื้อจริง”
2. Lookalike Audience: ขยายฐานลูกค้าใหม่อย่างมีคุณภาพ
- เมื่อเรามีฐานลูกค้าคุณภาพอยู่แล้ว เราสามารถสร้างกลุ่มที่ “มีพฤติกรรมใกล้เคียง” กับลูกค้าเดิมได้
- AI ของ Meta จะช่วยหาคนที่มีลักษณะใกล้เคียงในเชิงพฤติกรรม การใช้งานแพลตฟอร์ม และความสนใจ
- ทำให้ธุรกิจเข้าถึงลูกค้าใหม่ที่มีแนวโน้มสนใจสินค้า โดยไม่ต้องเดาสุ่ม
3. AI Optimization (Advantage+ Campaign)
- ระบบ AI จะเข้ามาช่วยจัดการในสิ่งที่นักการตลาดมักใช้เวลามาก เช่น การจัดสรรงบประมาณ (Budget Allocation) และการทดสอบโฆษณาหลายแบบ (Creative Testing)
- ผู้ลงโฆษณาเพียงใส่เป้าหมายหลัก เช่น ต้องการยอดขายหรือ Leads จากนั้นให้ AI ปรับแต่งเพื่อหาวิธีที่ดีที่สุด
- Meta รายงานว่า Advantage+ Shopping Campaign ช่วยเพิ่ม Conversion ได้เฉลี่ย 17% และลดต้นทุนต่อการซื้อ (CPA) ลงถึง 32%
การใช้ Data และ AI ไม่ได้เป็นเพียง “เทรนด์” แต่คือสิ่งที่ช่วยให้การทำ Facebook Ads มีประสิทธิภาพมากขึ้น ควรใช้ Custom Audience, Lookalike Audience และ AI Optimization เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ทั้งเพิ่มยอดขายและลดต้นทุนไปพร้อมกัน

สร้าง Content ที่ตอบโจทย์ ไม่ใช่แค่ขาย
หลายธุรกิจที่ทำ Facebook Ads มักจะพลาดเพราะ เน้นแต่การขายตรง จนทำให้ผู้บริโภครู้สึก “โดนยัดเยียด” มากกว่าจะอยากซื้อจริงๆ แต่ความยั่งยืนของการทำการตลาดบน Facebook ไม่ได้อยู่ที่งบโฆษณาเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ “Content Strategy” ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคด้วย
Content ที่ใช่ ต้อง “ให้มากกว่าขาย”
- วิดีโอ How-to หรือ Tips: ผู้บริโภคจะรู้สึกว่าแบรนด์ให้ความรู้จริง ไม่ได้มาขายอย่างเดียว
- รีวิวจากลูกค้าจริง (UGC – User Generated Content): การแชร์รีวิวจากผู้ใช้จริง เพิ่มความน่าเชื่อถือกว่าคอนเทนต์โฆษณาที่แบรนด์พูดเอง
- Storytelling ที่เล่าเรื่องแบรนด์: เล่าถึงจุดเริ่มต้น ปรัชญา หรือเรื่องราวเบื้องหลังสินค้า
หลักการ 70/20/10
การทำ Content ให้ยั่งยืนบน Facebook Ads ควรมีสัดส่วนที่สมดุล
- 70% เนื้อหาสร้างคุณค่า / ให้ความรู้ → ทำให้แบรนด์เป็น Expert ในสายตาผู้บริโภค
- 20% เนื้อหาที่สร้าง Engagement และ Community → กระตุ้นให้เกิดการแชร์ คอมเมนต์ และความรู้สึกว่าแบรนด์ “ใกล้ชิด” ผู้บริโภค
- 10% เนื้อหาที่ขายตรง → ใช้สำหรับปิดการขายโดยไม่ทำให้ผู้บริโภครู้สึกถูกกดดัน
ถ้าอยากให้ Facebook Ads คุ้มค่าและอยู่ได้ยาวๆ ต้องเลิกคิดแค่ว่า “ยิงแอด = ขายของ” แต่ต้องวาง Content ที่ Educate + Engage + Sell ไปพร้อมกัน

การวัดผลระยะยาว ไม่ใช่แค่ ROAS
หลายธุรกิจยังคงมองความสำเร็จของการตลาดดิจิทัลแค่ตัวเลข ROAS (Return on Ad Spend) ซึ่งเป็นเพียงการบอกว่าลงทุนกับโฆษณาแล้วได้เงินกลับมามากน้อยแค่ไหน แต่ในความเป็นจริง ROAS เป็นเพียงตัวชี้วัดระยะสั้น ไม่สามารถสะท้อน “ความยั่งยืน” ของธุรกิจได้ทั้งหมด
ถ้าต้องการให้ธุรกิจเติบโตแบบต่อเนื่อง เราจำเป็นต้องขยายมุมมองไปสู่ ตัวชี้วัดระยะยาว (Long-term Metrics) ที่ช่วยให้เห็นภาพรวมการสร้างแบรนด์และความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างแท้จริง
คุณสมบัติของตัวชี้วัดระยะยาว
- Customer Lifetime Value (CLV)
- ไม่ใช่แค่ลูกค้าซื้อครั้งแรก แต่คือมูลค่าทั้งหมดที่ลูกค้าคนหนึ่งสร้างให้กับธุรกิจตลอดช่วงเวลาที่เป็นลูกค้า
- การเพิ่ม CLV หมายถึงธุรกิจไม่เพียงหาลูกค้าใหม่ แต่ยังสามารถรักษาและสร้างความภักดีจากลูกค้าเก่าได้
- Brand Recall และ Brand Sentiment
- ลูกค้าจำแบรนด์ได้หรือไม่? รู้สึกอย่างไรเมื่อเห็นชื่อแบรนด์?
- ตัวชี้วัดนี้สะท้อนการสร้าง “ทุนทางใจ” ที่ทำให้ลูกค้าเลือกเรามากกว่าคู่แข่ง แม้บางครั้งราคาสูงกว่า
- Engagement Growth
- การมีส่วนร่วมที่เพิ่มขึ้น (เช่น คอมเมนต์ แชร์ การเข้ามาพูดคุย) บ่งบอกว่าลูกค้าไม่ได้มองแบรนด์เป็นเพียงผู้ขาย แต่เป็น “ชุมชน” ที่เขาอยากมีส่วนร่วมด้วย
- สิ่งนี้สร้างความแข็งแรงให้กับการตลาดแบบปากต่อปาก (Word of Mouth)
- Repeat Purchase Rate
- ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำบ่อยแค่ไหน?
- การซื้อซ้ำสะท้อนว่าลูกค้าเชื่อใจคุณและพอใจกับประสบการณ์ที่ได้รับ
ธุรกิจที่ยั่งยืนไม่ได้เกิดจากยอดขายชั่วคราว แต่เกิดจากการสร้าง ความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า และการปลูกฝังภาพลักษณ์แบรนด์ที่แข็งแรง การมองไกลกว่าตัวเลข ROAS จึงเป็นกุญแจที่ทำให้แบรนด์อยู่รอดและเติบโตได้จริง

งบประมาณและการกระจายความเสี่ยง
การจัดสรรงบโฆษณาที่เหมาะสม ถือเป็นหัวใจสำคัญของการตลาดออนไลน์ Facebook Ads เพราะหากทุ่มงบไปเพียงจุดเดียว อาจทำให้ได้ผลลัพธ์ในระยะสั้น แต่ธุรกิจจะไม่สามารถสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะยาวได้
ดังนั้นจึงควรกระจายงบประมาณให้ครอบคลุมทั้ง 3 Stage ของ Marketing Funnel เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการหาลูกค้าใหม่ การสร้างความเชื่อมั่น และการปิดการขาย
Awareness – 40% ของงบทั้งหมด
- วัตถุประสงค์: สร้างการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness) ขยายฐานลูกค้าใหม่ให้มากที่สุด
- เครื่องมือหลัก: Facebook Ads, TikTok Ads, Google Display Ads
- กลุ่มเป้าหมาย: คนในวงกว้างที่ยังไม่รู้จักแบรนด์
- ผลลัพธ์ที่คาดหวัง: คนรู้จักชื่อแบรนด์ เห็นโลโก้หรือคอนเทนต์ของเราอย่างสม่ำเสมอ
Consideration – 30% ของงบทั้งหมด
- วัตถุประสงค์: สร้างความเข้าใจ สื่อสารคุณค่า และสร้างความเชื่อมั่น
- เครื่องมือหลัก: Video Ads, Content Marketing, การรีวิว/UGC, Email Marketing
- กลุ่มเป้าหมาย: คนที่เคยเห็นโฆษณามาก่อน หรือเริ่มมีความสนใจสินค้า/บริการ
- ผลลัพธ์ที่คาดหวัง: ผู้บริโภคเริ่มมีทัศนคติบวกต่อแบรนด์ และพิจารณาที่จะซื้อ
Conversion – 30% ของงบทั้งหมด
- วัตถุประสงค์: ปิดการขายโดยตรง เน้นผลลัพธ์ที่เป็นรายได้
- เครื่องมือหลัก: Retargeting Ads, Lead Generation Ads, Promotion Campaign
- กลุ่มเป้าหมาย: คนที่เคยกดดูสินค้า/เข้าหน้าเว็บไซต์/ทักแชท
- ผลลัพธ์ที่คาดหวัง: ลูกค้าตัดสินใจซื้อ เกิดยอดขายจริง
บทสรุป
Facebook Ads ไม่ได้เป็นเพียงการยิงโฆษณาเพื่อยอดขายระยะสั้น แต่คือกลยุทธ์ที่ช่วยสร้างแบรนด์ให้แข็งแรงในระยะยาว หากเข้าใจ Customer Journey และวางแผนให้ครอบคลุมทุกขั้นของ Funnel ตั้งแต่ Awareness, Consideration, Conversion ไปจนถึง Loyalty ธุรกิจจะได้ทั้งยอดขาย การจดจำแบรนด์ และความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับลูกค้า
การใช้ Data และ AI อย่าง Custom Audience, Lookalike Audience และ Advantage+ Campaign ทำให้โฆษณามีความแม่นยำและคุ้มค่ามากขึ้น ขณะเดียวกัน Content ที่สมดุลระหว่างให้ความรู้ สร้างการมีส่วนร่วม และการขายตรง จะทำให้โฆษณามีพลังมากกว่าเดิม Facebook Ads จึงไม่ใช่แค่ค่าใช้จ่าย แต่คือการลงทุนเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของธุรกิจ