ในโลกการตลาดดิจิทัลยุคนี้ Google Shopping Ads ถือเป็นเครื่องมือทรงพลังที่สุดอย่างหนึ่งสำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เพราะต่างจากโฆษณาค้นหาทั่วไปที่เป็นข้อความล้วน Google Shopping แสดงรูปภาพสินค้า ราคา และข้อมูลร้านค้าให้เห็นบนหน้าผลการค้นหาเลยทันที
แต่แค่สร้างแคมเปญขึ้นมาก็ยังไม่พอ หากต้องการยอดขายจริง ต้องมีเทคนิคที่ชาญฉลาด และใช้ข้อมูลตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ The Media Code จะพาคุณไปรู้จักเทคนิคที่ช่วยให้คุณได้ผลลัพธ์สูงขึ้น ประหยัดต้นทุนต่อคลิก (CPC) และเพิ่มยอด Conversion ได้จริง
ทำความเข้าใจโครงสร้างของ Google Shopping
ก่อนจะไปถึงขั้นตอนปรับแต่ง เราต้องรู้ก่อนว่า Google Shopping ทำงานอย่างไร
- Google Merchant Center: ที่เก็บข้อมูลสินค้าของคุณ (Feed)
- บัญชี Google Ads: ที่ใช้สร้างและจัดการแคมเปญ
- Product Feed: รายการข้อมูลสินค้าแบบมีโครงสร้าง เช่น ชื่อ รายละเอียด ราคา หมวดหมู่ รหัส GTIN ฯลฯ
ทุกอย่างเริ่มจาก “ข้อมูลสินค้า” ที่ดี เพราะมันคือหน้าร้านออนไลน์ของคุณ ต้องดูดี มีข้อมูลครบ และใส่คำค้นที่เกี่ยวข้องอย่างเหมาะสม
ปรับแต่ง Product Feed ให้ละเอียดและมีคุณภาพ
Google Shopping ไม่ใช้ระบบคีย์เวิร์ดเหมือน Search Ads ทุกอย่างอิงจาก “ข้อมูลสินค้า” ล้วน ๆ เพราะฉะนั้น ถ้าอยากได้ผลลัพธ์ดี ต้องปรับ Feed ให้เป๊ะ
จุดที่ควรให้ความสำคัญ:
- ชื่อสินค้า (Title): ใส่คำค้นให้ครอบคลุม ชัดเจน และระบุรายละเอียด
ตัวอย่าง: แทนที่จะใช้แค่ “รองเท้าวิ่ง” ให้เขียนว่า “รองเท้าวิ่งผู้ชาย Nike Air Zoom Pegasus 40 สีดำ ไซส์ 10” - คำอธิบายสินค้า (Description): ใส่จุดขายของสินค้า พร้อมคำค้นที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นธรรมชาติ
- หมวดหมู่สินค้า (Product Category): ใช้ตามโครงสร้างของ Google อย่างถูกต้อง
- ภาพสินค้า (Product Image): ใช้ภาพชัด ไม่มีพื้นหลังรก ควรลองหลายมุมเพื่อดูว่าแบบไหนได้ผลที่สุด
- รหัสสินค้า (GTIN) และแบรนด์: การใส่ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้โฆษณาคุณมีสิทธิ์แสดงบ่อยขึ้นและแม่นยำขึ้น
เคล็ดลับ: ใช้เครื่องมือเช่น DataFeedWatch หรือ Feedonomics ช่วยปรับแต่ง Feed แบบมืออาชีพ
แบ่งแคมเปญตามประสิทธิภาพของสินค้า
สินค้าแต่ละชิ้นมีประสิทธิภาพต่างกัน การแบ่งแคมเปญให้ละเอียดจะช่วยควบคุมงบและการประมูล (bidding) ได้แม่นยำ
แนวทางการแบ่ง:
- แบ่งตามหมวดสินค้า (เช่น เสื้อผ้า vs อิเล็กทรอนิกส์)
- แบ่งตามอัตรากำไร
- แบ่งตามสินค้าขายดี vs สินค้าใหม่
- แบ่งตามแบรนด์
การแบ่งแบบนี้ช่วยให้คุณใส่งบโฆษณาไปที่สินค้าที่ทำเงินได้ดีที่สุด และลดงบจากสินค้าที่ไม่คุ้ม
ใช้ Smart Shopping หรือ Performance Max อย่างระมัดระวัง
ระบบ Smart Shopping (ตอนนี้รวมอยู่ใน Performance Max แล้ว) ใช้ AI ช่วยประมูลและเลือกตำแหน่งโฆษณาแบบอัตโนมัติ ซึ่งดีสำหรับการขยายผล แต่มีข้อเสียตรงที่คุณจะควบคุมรายละเอียดได้น้อยลง
แนะนำให้:
- ใช้ Performance Max คู่กับ Standard Shopping อย่าใช้แค่อันใดอันหนึ่ง
- ใช้กับสินค้าขายดีหรือกลุ่มที่ต้องการรีมาร์เก็ต
- ตรวจสอบคำค้น (search terms) อย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันเสียเงินฟรี
ใช้ Negative Keywords กรองคำที่ไม่เกี่ยวข้อง
แม้ว่า Shopping Ads จะไม่ได้ใช้คีย์เวิร์ดแบบเจาะจง แต่คุณสามารถใส่ Negative Keywords (คำที่ไม่อยากให้โฆษณาแสดง) เพื่อกรองคำค้นที่ไม่ก่อให้เกิดยอดขายได้ (ใช้ได้ในแคมเปญ Standard เท่านั้น)
คำที่ควรพิจารณาเป็น Negative Keyword เช่น:
- “ฟรี”
- “ราคาถูก” (ถ้าเป็นแบรนด์พรีเมียม)
- ชื่อแบรนด์คู่แข่ง
- คำค้นที่เป็นการหาข้อมูล เช่น “วิธีซ่อม…” “รีวิว…”
ช่วยประหยัดงบโฆษณาและเพิ่มประสิทธิภาพ
วางกลยุทธ์การประมูลอย่างมีเหตุผล
อย่าเพิ่ม Bid เพราะความรู้สึกว่ามัน “น่าจะได้ผล” ให้วิเคราะห์ข้อมูลก่อนปรับ
ตัวเลือกการประมูลที่ควรลอง:
- Enhanced CPC – ให้ระบบช่วยปรับอัตโนมัติเล็กน้อย
- Manual CPC – เหมาะกับแคมเปญขนาดเล็ก
- Target ROAS – ใช้เมื่อมีข้อมูล Conversion เพียงพอ
อย่าลืมคำนวณ “กำไรสุทธิ” ไม่ใช่แค่ยอดขายหรือ Conversion Rate
สร้างแคมเปญ Remarketing ด้วย Feed
ลูกค้าหลายคนคลิกดูแต่ยังไม่ซื้อ ถ้าใช้โฆษณา Remarketing ที่แสดง “สินค้าที่เคยดู” อีกครั้ง จะช่วยกระตุ้นให้ตัดสินใจได้
- ใช้ Dynamic Remarketing แสดงสินค้าที่ดูค้างไว้
- ตั้งค่า Feed ให้มี custom label เพื่อจัดกลุ่มลูกค้า เช่น “กลุ่มที่ละตะกร้า”
ได้ผลดีมากโดยเฉพาะกับสินค้าราคาสูง
ตรวจสอบผลลัพธ์และวิเคราะห์เป็นประจำ
Google Shopping ไม่ใช่ระบบที่ตั้งไว้แล้วปล่อยยาว ต้องตรวจผลอย่างต่อเนื่อง
ตัวชี้วัดสำคัญ (Metrics):
- Impression Share
- Click-Through Rate (CTR)
- Cost Per Click (CPC)
- Conversion Rate
- ROAS (ผลตอบแทนต่อโฆษณา)
ใช้ทั้ง Google Analytics 4 และ Google Ads Report เพื่อติดตามพฤติกรรมลูกค้าและปรับแผนให้ดีขึ้น
เพิ่มประสิทธิภาพสำหรับผู้ใช้งานมือถือ
ปัจจุบันกว่า 70% ของทราฟฟิกมาจากมือถือ ถ้าเว็บคุณโหลดช้า หรือใช้งานยากบนมือถือ คุณอาจเสียลูกค้าไปทันที
สิ่งที่ควรทำทันที:
- ปรับความเร็วเว็บไซต์บนมือถือให้เร็วที่สุด
- ใช้ AMP (Accelerated Mobile Pages) ถ้าเป็นไปได้
- ทำ UX และหน้าชำระเงินให้เหมาะกับหน้าจอเล็ก
ทดสอบ A/B และทดลองสิ่งใหม่เสมอ
สิ่งที่ใช้ได้วันนี้ อาจไม่ได้ผลในอนาคต การทดสอบคือหัวใจของการเติบโต
ลองทดสอบ:
- ชื่อสินค้าและคำอธิบาย
- ภาพสินค้า (เปรียบเทียบภาพสินค้าจริง vs ภาพพื้นหลังขาว)
- วิธีประมูล
- รูปแบบแคมเปญ (Performance Max vs Standard)
บันทึกผลและนำสิ่งที่ได้ผลไปใช้ต่อยอด
สรุป: เปลี่ยนผู้ค้นหาให้กลายเป็นลูกค้า
Google Shopping Ads เป็นรูปแบบโฆษณาที่แปลงยอดขายได้ดีมาก หากคุณใช้เทคนิคที่ถูกต้อง โดยเฉพาะเรื่องข้อมูล Feed การแบ่งแคมเปญ และการตัดสินใจจากข้อมูลจริง หากคุณดูแลประสบการณ์ของผู้ซื้อให้ดี ผลลัพธ์จากโฆษณาก็จะตามมาอย่างแน่นอน